มณฑลทหารบกที่ ๔๔
44th Military Circle
For Country, Religions, Monarchy, and People.
ทรงพระราชสมภพ
วันจันทร์ที่28 กรกฎาคม พ.ศ. 2495 เมื่อเวลา 17 นาฬิกา 45 นาที ณ พระที่นั่งอัมพรสถานพระราชวังดุสิต พระราชโอรสเพียงพระองค์เดียวในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชสมภพ ตรงกับ วันจันทร์ ขึ้น 6 ค่ำ เดือน 9ปีมะโรง จัตวาศก อธิกวาร จุลศักราช 1314 นับเป็นปีที่ 7แห่งการเสด็จขึ้นครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9
พระนามเมื่อแรกประสูติว่าสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ บรมจักรยาดิศรสันตติวงศเทเวศรธำรงสุบริบาล อภิคุณูประการมหิตลาดุลเดช ภูมิพลนเรศวรางกูรกิตติสิริสมบูรณ์สวางควัฒน์ บรมขัตติยราชกุมาร
ขณะเมื่อทรงพระราชสมภพนั้นประชาชนชาวไทยทั้งประเทศที่เฝ้ารอคอยพระประสูติการต่างปลาบปลื้มปีติชื่นชมโสมนัส แซ่ซ้องในพระบุญญาธิการ ดังที่ศาสตราจารย์หม่อมราชวงศ์สุมนชาติ สวัสดิกุลได้บรรยายถึงบรรยากาศก่อนเวลาเสด็จพระราชสมภพตราบจนถึงนาทีอันเป็นมงคลฤกษ์ว่า “...วันนี้ ครึ้มฟ้าครึ้มฝนตั้งแต่เช้าฝนไม่ได้ตกมานานนายแพทย์ผู้ถวายการประสูติเข้าประจำที่สักครู่ก็ประสูติพระราชกุมาร เวลา 17นาฬิกา กับ 45 นาที ในนาทีเดียวกันนั้นเองฝนที่แล้งมาตลอดฤดูก็เริ่มโปรยปรายละอองลงมา ดูคล้ายๆฟ้าก็รู้เห็นเป็นใจกับการประสูติครั้งนี้ อารามดีใจสมประสงค์ของดวงใจทุกๆดวง นายแพทย์ที่ถวายการประสูติ ซึ่งพร้อมที่จะบอกแก่ที่ประชุม ณพระที่นั่งอัมพรสถานว่า พระราชโอรส หรือ พระราชธิดากล่าวออกมาด้วยเสียงอันตื่นเต้นกังวานว่า ผู้ชาย แทนที่จะว่า พระราชโอรสฝนโปรยอยู่ตลอดเวลา แตรสังข์ดุริยางค์เริ่มประโคมทหารบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบาร มีปืนใหญ่ทั้งบกและเรือยิงสะเทือนเลื่อนลั่นเสียงไชโยโห่ร้องก็ดังอยู่สนั่นหวั่นไหวสมใจประชาชนแล้ว...ดวงใจทุกดวงมีความสุข...” นับแต่นั้นมาประชาชนชาวไทยต่างเฝ้าติดตามข่าวเกี่ยวกับสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าวชิราลงกรณฯ ด้วยความจงรักภักดี และต่างปลาบปลื้มปีติชื่นชมโสมนัสยิ่งขึ้นเมื่อพระองค์ทรงเจริญพระชันษามีพระสุขภาพพลานามัยแข็งแรงเพียบพร้อมด้วยพระราชจริยวัตรและพระปรีชาสามารถเป็นที่ประจักษ์ตลอดมา
ทรงมีพระเชษฐภคินี1 พระองค์ คือ ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดีและพระขนิษฐภคินี 2 พระองค์ คือ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาเจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารีและสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี
สมเด็จพระยุพราช
วันที่28 ธันวาคม พ.ศ. 2515ปวงชนชาวไทยต่างปลาบปลื้มปีติยินดีเป็นอย่างยิ่งอีกครั้งหนึ่งเมื่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้มีพระบรมราชโองการประกาศสถาปนา สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าวชิราลงกรณฯ ขึ้นดำรงพระอิสริยยศ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯสยามมกุฎราชกุมาร มีพระนามาภิไธย ตามจารึกพระสุพรรณบัฎว่า
“สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร สิริกิตยสมบูรณสวางควัฒน์วรขัตติยราชสันตติวงศ์ มหิตลพงศอดุลยเดช จักรีนเรศยุพราชวิสุทธิสยามมกุฎราชกุมาร”
ในมงคลวาระนั้นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารได้ถวายสัตย์ปฏิญาณในการพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ณพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามซึ่งแสดงถึงน้ำพระราชหฤทัยที่ทรงมุ่งมั่นจะบำเพ็ญพระราชกรณียกิจเพื่อชาติบ้านเมืองและประชาชนชาวไทย เป็นที่ซาบซึ้งประทับใจพสกนิกรยิ่ง ดังความว่า
“ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานกระทำสัตย์ปฏิญาณสาบานต่อประเทศชาติและประชาชนชาวไทยเฉพาะพระพุทธพระธรรม พระสงฆ์ เฉพาะพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ท่ามกลางสันนิบาตนี้ว่าข้าพเจ้าผู้เป็น สยามมกุฎราชกุมาร จะรักษาเกียรติยศและอิสริยศักดิ์ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานไว้ด้วยชีวิต จะภักดีต่อชาติบ้านเมืองจะซื่อสัตย์ต่อประชาชน จะปฏิบัติภาระหน้าที่ทุกอย่างโดยเต็มกำลังสติปัญญาความสามารถ และโดยความเสียสละเพื่อความเจริญสงบสุขและความมั่นคงไพบูลย์ของประเทศไทยจนตราบเท่าชีวิตร่างกายจะหาไม่”
การศึกษา
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯสยามมกุฎราชกุมาร ทรงได้รับการศึกษาระดับอนุบาลศึกษาที่พระที่นั่งอุดรภาคพระราชวังดุสิต และทรงเข้ารับการศึกษาระดับประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษาโรงเรียนจิตรลดา ระหว่าง พ.ศ. 2499-2505 ทรงศึกษาที่ประเทศอังกฤษระหว่างพ.ศ. 2509-2513 หลังจากนั้นได้ทรงศึกษาระดับเตรียมทหารที่โรงเรียนคิงส์นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย
พ.ศ.2515 ทรงเข้าศึกษาในวิทยาลัยการทหารชั้นสูงที่วิทยาลัยการทหารดันทรูนกรุงแคนเบอร์รา หลักสูตรของวิทยาลัยการทหารแห่งนี้แบ่งออกเป็น 2 ภาค คือภาควิชาการทหาร รับผิดชอบและดำเนินการโดยกองทัพบกออสเตรเลียส่วนอีกภาคหนึ่งเป็นการศึกษาวิชาสามัญ ระดับปริญญาตรีโดยมหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์รับผิดชอบวางหลักสูตรทรงเลือกศึกษาในสาขาวิชาอักษรศาสตร์ ทรงสำเร็จการศึกษาเมื่อ พ.ศ. 2519
สำหรับการศึกษาทางการทหารพ.ศ. 2519ทรงเข้ารับการฝึกเพิ่มเติมและทรงศึกษางานด้านการทหารในประเทศออสเตรเลียและทรงประจำการ ณ กองปฏิบัติการทางอากาศพิเศษที่นครเพิร์ธ ประเทศออสเตรเลีย
นอกจากนี้ยังทรงศึกษาที่โรงเรียนเสนาธิการทหารบกหลักสูตรประจำชุดที่ 5-6 ระหว่างพ.ศ. 2520-2521 และทรงได้รับปริญญานิติศาสตรบัณฑิต(เกียรตินิยมอันดับ 2)มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เมื่อ พ.ศ. 2531 ครั้นถึง พ.ศ.2533ทรงเข้ารับการศึกษา ณ วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรแห่งสหราชอาณาจักรด้วย
พระราชโอรส-พระราชธิดา
พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ประสูติเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2521 ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต
พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ประสูติเมื่อวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2530
พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ ประสูติเมื่อวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2548
กาลเวลาผ่านไปได้เป็นที่ประจักษ์ว่าตลอดระยะเวลานับแต่ยังทรงพระเยาว์ตราบจนปัจจุบัน สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯสยามมกุฎราชกุมาร ได้ทรงยึดมั่นในพระปฏิญญา ทรงพระวิริยอุตสาหะมุ่งมั่นปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการ เพื่อประเทศชาติและประชาชนชาวไทยโดยมิได้ย่อท้อ ดังปรากฏว่า สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารได้ทรงเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ในการบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่อาณาประชาราษฎร์เมื่อยังทรงพระเยาว์ ได้โดยเสด็จพระบรมชนกนาถและสมเด็จพระบรมราชชนนีไปในการเยี่ยมราษฎรในภูมิภาคต่างๆ ของประเทศตลอดมาทรงสั่งสมพระประสบการณ์เกี่ยวกับบ้านเมืองและราษฎร ดังนั้นจึงทรงปฏิบัติพระราชภารกิจได้เป็นผลสำเร็จลุล่วง นับตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์เช่น เมื่อพระชนมพรรษา 11 พรรษาได้ทรงนำกองลูกเสือสำรองโรงเรียนจิตรลดาเข้าร่วมพิธีสวนสนาม ลูกเสือไทย ณสนามกีฬาแห่งชาติและเมื่อทรงพระเจริญวัยได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจด้านต่างๆ นานัปการทั้งที่ทรงปฏิบัติแทนพระองค์ และทรงปฏิบัติในส่วนพระองค์เองพระราชกรณียกิจทั้งปวงล้วนมีการสร้างสรรค์ความผาสุกสงบแก่ประชาชนนำความเจริญไพบูลย์และความมั่นคงมาสู่ประเทศ เช่น ด้านการแพทย์และสาธารณสุขการศึกษา การศาล การสังคมสงเคราะห์ การพระศาสนา การต่างประเทศ การศึกษาฯลฯ
ด้านการแพทย์ และการสาธารณสุข
ในด้านการแพทย์และการสาธารณสุขนั้นทรงตระหนักว่าสุขภาพพลานามัยอันดีของประชาชนเป็นปัจจัยสำคัญของการสร้างสรรค์ทรัพยากรบุคคลอันมีคุณภาพไว้เป็นพลังในการพัฒนาประเทศจึงสนพระราชหฤทัยในการประกอบพระราชกรณียกิจด้านการแพทย์และสาธารณสุข เช่นเมื่อรัฐบาลได้น้อมเกล้าฯ ถวายโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเนื่องในพระราชพิธีอภิเษกสมรสจำนวน 21 แห่ง ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศพระองค์ก็ได้ทรงพระอุตสาหะเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมโรงพยาบาลสม่ำเสมอพระราชทานพระราชทรัพย์สนับสนุนให้มีอุปกรณ์การแพทย์เครื่องมือเครื่องใช้ที่ทันสมัยเพื่อสามารถให้บริการที่ดีแก่ประชาชน
และเมื่อ พ.ศ. 2537 ทรงรับเป็นประธานกรรมการอำนวยการจัดสร้างอาคารศูนย์โรคหัวใจ สมเด็จพระบรมราชินีนาถ เป็นต้น
ด้านการศึกษา
ในด้านการศึกษาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารทรงทราบดีว่าเยาวชนในถิ่นทุรกันดารยังด้อยโอกาสในการศึกษากระทรวงศึกษาธิการ ก่อตั้งโรงเรียนมัธยมศึกษาในถิ่นทุรกันดาร 6 โรงเรียนได้แก่โรงเรียนมัธยมพัชรกิติยาภา จังหวัดนครพนม กำแพงเพชร สุราษฎร์ธานีโรงเรียนมัธยมสิริวัณวรี จังหวัดอุดรธานี สงขลา และฉะเชิงเทราได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงวางศิลาฤกษ์เอง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯรับโรงเรียนไว้ในพระราชูปถัมภ์ พระราชทานวัสดุอุปกรณ์การศึกษาอันทันสมัย
เช่นคอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ วีดิทัศน์ พระราชทานคำแนะนำและทรงส่งเสริมให้โรงเรียนดำเนินโครงการอันเป็นประโยชน์แก่นักเรียน เช่นโครงการอาชีพอิสระเพื่อให้เยาวชนใช้ความรู้ประกอบอาชีพเลี้ยงตนและครอบครัวได้เมื่อจบการศึกษาได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมโรงเรียน ทรงติดตามผลการศึกษาและโปรดเกล้าฯ ให้พระราชธิดาทั้งสองพระองค์ทรงร่วมกิจกรรมของโรงเรียนต่างๆเสมอ ทั้งนี้ด้วยน้ำพระหฤทัยที่ทรงพระเมตตาห่วงใยเยาวชนผู้ด้อยโอกาส
ส่วนในด้านอุดมศึกษา พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ไปพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตของมหาวิทยาลัยต่างๆ ปีละเป็นจำนวนมากทุกปี
ด้านสังคมสงเคราะห์
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯสยามมกุฎราชกุมารทรงพระกรุณาห่วงใยในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยเฉพาะเยาวชนที่ด้อยโอกาสและขาดแคลนได้ทรงพระอุตสาหะเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมชุมชนแออัดในกรุงเทพฯหลายแห่ง เช่น ชุมชนแออัดเขตพระโขนง เขตคลองเตย เขตยานนาวา เป็นต้น
ทรงพระกรุณาพระราชทานเครื่องอุปโภคบริโภคเครื่องกีฬา เครื่องดับเพลิง โปรดเกล้าฯให้กรมทหารในบังคับบัญชาของพระองค์ ร่วมกับประชาชนพัฒนาสิ่งแวดล้อมทั้งยังพระราชทานพระราชทรัพย์สนับสนุนโครงการของชุมชน เช่นโครงการพัฒนาเด็กเล็กที่ขาดแคลนโครงการปราบปรามยาเสพติดในหมู่เยาวชนชุมชนแออัดคลองเตยเพื่อให้เยาวชนผู้ด้อยโอกาสเหล่านั้นเติบโตเป็นพลเมืองดีและเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีคุณค่าในการพัฒนาประเทศต่อไปในอนาคต
ด้านการต่างประเทศ
การมีสัมพันธไมตรีอันดีกับมิตรประเทศเป็นรากฐานสำคัญของความสงบสุขและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารก็ได้ทรงพระวิริยอุตสาหะประกอบพระราชกรณียกิจสำคัญๆในการเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศต่างๆ เสมอมาได้เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถไปทรงเยือนมิตรประเทศทั่วทุกทวีปอย่างเป็นทางการเป็นประจำทุกปีปีละหลายครั้งเช่น เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยือนประเทศอิตาลี และทรงพบพระสันตะปาปาเมื่อวันที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2525
ระหว่างวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ถึง 8มีนาคม พ.ศ. 2530เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการทรงพบนายเติ้ง เสี่ยวผิง ณ มหาศาลาประชาคม กรุงปักกิ่งเสด็จพระราชดำเนินทรงเยือนประเทศญี่ปุ่น ทรงพบสมเด็จพระจักรพรรดิและสมเด็จพระจักรพรรดินี ซึ่งประเทศต่างๆที่เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเจริญสัมพันธไมตรีในฐานะผู้แทนพระองค์และในส่วนของพระองค์เองมีอีกเป็นจำนวนมาก เช่น อิหร่าน เนปาล สาธารณรัฐสังคมนิยมศรีลังกาสหพันธ์เอกวาดอร์ สาธารณรัฐเฮลเลนิก(กรีซ) ออสเตรเลีย และเมื่อวันที่ 2-4กรกฎาคม พ.ศ. 2542ได้เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยพระราชธิดาทั้งสองพระองค์ไปทรงเยือนประเทศสิงคโปร์อย่างเป็นทางการ
ในการเสด็จพระราชดำเนินไปทุกครั้งต้องทรงเตรียมพระองค์ด้วยการทรงศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับประเทศที่จะเสด็จฯไปทรงเยือน และระหว่างประทับอยู่ในประเทศนั้นๆนอกจากทรงมุ่งมั่นที่จะทรงเจริญสัมพันธไมตรีแล้วยังสนพระราชหฤทัยในการทอดพระเนตรและศึกษากิจกรรมต่างๆที่จะทรงนำมาเป็นประโยชน์ในการพัฒนาบ้านเมืองไทยด้วย เช่น เสด็จฯไปทรงเยี่ยมชมกิจการทหาร การจราจรทางอากาศเมื่อทรงเยือนประเทศในทวีปอเมริกาใต้,ทอดพระเนตรสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา ศิลปวัฒนธรรมกิจกรรมด้านอุตสาหกรรมและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนเมื่อทรงเยือนสาธารณรัฐสังคมนิยมศรีลังกา,ทอดพระเนตรการดำเนินงานด้านการป้องกันสาธารณภัยที่ประเทศเกาหลี เป็นต้น
ด้านการพระศาสนา
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯสยามมกุฎราชกุมารได้ทรงแสดงพระองค์เป็นพุทธมามกะที่วัดพระศรีรัตนศาสดารามเมื่อวันที่ 3มกราคม พ.ศ. 2509 ก่อนเสด็จพระราชดำเนินไปทรงศึกษาที่ประเทศอังกฤษและมีพระราชศรัทธาทรงพระผนวชในบวรพระพุทธศาสนา เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายนพ.ศ. 2521 ระหว่างทรงพระผนวช ทรงศึกษาและทรงปฏิบัติพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด
นอกจากนั้นได้เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ไปทรงปฏิบัติพระราชกิจทางศาสนาเป็นประจำเสมอ เช่นทรงเปลี่ยนเครื่องทรงพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ณ วัดพระศรีรัตนศาสดารามตามฤดูกาลเสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ไปทรงบำเพ็ญพระราชกุศลในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาเช่น วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา วันเข้าพรรษาและการถวายพระกฐินหลวงตามวัดต่างๆ เป็นต้น
ด้านการกีฬา
ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจทั้งในฐานะผู้แทนพระองค์และในส่วนของพระองค์เองนานัปการ เช่นการพระราชทานไฟพระฤกษ์ กีฬาเยาวชนแห่งชาติพระราชทานพระราชวโรกาสให้นักกีฬาไทยผู้นำความสำเร็จนำเกียรติยศมาสู่ประเทศชาติเข้าเฝ้าทูลละอองพระบาทรับพระราชทานรางวัลนักกีฬายอดเยี่ยม รับพระราชทานพรและทรงแสดงความชื่นชมยินดี
ซึ่งนักกีฬาของไทยต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณมีความปลาบปลื้มในสิริมงคลและมีขวัญกำลังใจที่จะนำความสำเร็จและนำเกียรติยศมาสู่ตนเองสู่วงศ์ตระกูล และประเทศชาติต่อไป
เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2541ได้เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ไปทรงประกอบพิธีเปิดกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ทำให้นักกีฬามีขวัญและกำลังใจในการแข่งขันประสบชัยชนะนำเหรียญรางวัลมาสู่ประเทศไทยเป็นจำนวนมาก
ด้านการทหาร
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯสยามมกุฎราชกุมารสนพระราชหฤทัยในวิทยาการด้านการทหารมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์นอกจากทรงรับการศึกษาทางด้านการทหารจากประเทศออสเตรเลียแล้วยังทรงพระวิริยอุตสาหะในการเพิ่มพูนความรู้และพระประสบการณ์อยู่ตลอดเวลาโดยเฉพาะในด้านวิทยาการการบิน กล่าวคือ ระหว่างเดือนมกราคม ถึง ตุลาคม พ.ศ.2519 ทรงเข้ารับการฝึกเพิ่มเติมและทรงศึกษางานทางการทหารในประเทศออสเตรเลีย โดยทุนกระทรวงกลาโหมทรงประจำการ ณ กองปฏิบัติการทางอากาศพิเศษ ที่นครเพิร์ธ ประเทศออสเตรเลียทรงรับการฝึกอบรมหลักสูตรวิชาอาวุธพิเศษ การทำลายและยุทธวิธีรบนอกแบบหลักสูตรต้นหนชั้นสูง หลักสูตรการลาดตระเวนและต้นหนชั้นสูงหลักสูตรส่งทางอากาศ
เดือนธันวาคม 2522–มกราคม 2523ทรงเข้ารับการศึกษาหลักสูตรการบินเฮลิคอปเตอร์ใช้งานทั่วไป แบบ ยูเอช–1 เอชและหลักสูตรการฝึกบินเฮลิคอปเตอร์โจมตี แบบ เอเอช–1 เอส คอบราของบริษัทเบลล์ นอกจากนั้นยังทรงเข้ารับการศึกษาหลักสูตรต่างๆทางด้านการบินอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งจะเห็นได้ว่าพระองค์ทรงเชี่ยวชาญการบินในระดับสูงมาก
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯสยามมกุฎราชกุมาร ทรงรับราชการทหารมาโดยตลอด นับแต่เมื่อวันที่ 9 มกราคมพ.ศ. 2518 ทรงเข้าเป็นนายทหารประจำกรมข่าว ทหารบก กระทรวงกลาโหม
วันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2521 ทรงดำรงตำแหน่ง รองผู้บังคับกองพันทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์
วันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2523 ทรงดำรงตำแหน่งผู้บังคับกองพันทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์
วันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2527 ทรงดำรงตำแหน่ง ผู้บังคับการ กรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์
วันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2531 ทรงดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์
วันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2535 ทรงดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ สำนักผู้บัญชาการทหารสูงสุด
และเนื่องด้วยทรงพระปรีชาชาญในวิทยาการด้านการบินทรงรอบรู้เทคนิคสมัยใหม่ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติเคยทรงเข้าร่วมการแข่งขันการใช้อาวุธทางอากาศ ณสนามฝึกใช้อาวุธทางอากาศชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี และทรงชนะเลิศการแข่งขันเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2530พระองค์ทรงมีชั่วโมงฝึกบินอย่างต่อเนื่องสูงมากและถือว่าเป็นสิ่งที่ยากสำหรับนักบินทั่วโลกจะทำได้พระองค์ทรงพระกรุณาปฏิบัติหน้าที่ครูการบินเครื่องบินขับไล่ แบบเอฟ–5อี/เอฟ ตั้งแต่วันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ.2537 เป็นต้นมานับเป็นพระมหากรุณาธิคุณ และเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งของกองทัพไทยและปวงชนชาวไทย
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารทรงดำรงพระยศทางทหารของ 3 เหล่าทัพ คือ พลเอก พลเรือเอก และพลอากาศเอกและได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจด้านการทหารโดยทรงเข้าร่วมปฏิบัติการรบในการต่อต้านการก่อการร้ายในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยรวมทั้งการคุ้มกันพื้นที่ในบริเวณรอบค่ายผู้อพยพชาวกัมพูชา ที่เขาล้านจังหวัดตราด ด้วย ซึ่งแม้เป็นพระราชภารกิจที่ต้องทรงเสี่ยงภยันตรายแต่ด้วยความที่ทรงเป็นชายชาติทหารและเป็นพระราชภารกิจเพื่อความผาสุกของพสกนิกรและเพื่อมนุษยธรรมต่อผู้ประสบทุกข์ยากจึงทรงปฏิบัติพระราชภารกิจดังกล่าวโดยเต็มพระราชกำลัง
ทรงเป็นแบบอย่างของลูก
นับจากทรงพระเยาว์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารทรงตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ไปยังท้องถิ่นต่างๆ อยู่เสมอรวมถึงทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์อยู่นานัปการรวมทั้งทรงจัดเที่ยวบินมหากุศลโดยทรงประจำในตำแหน่งนักบินที่ 1เที่ยวบินพิเศษของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)นำคณะพุทธศาสนิกชนไปสักการะปูชนียสถานสำคัญทรงบริจาคพระราชทรัพย์เพื่อประโยชน์ทางศาสนาจึงมีผู้ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเงินเพื่อสมทบทุนเพื่อการกุศลอื่นๆเป็นจำนวนมาก
และในปีพ.ศ.2558 มีกิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นั่นคือเมื่อวันที่ 16สิงหาคม มีกิจกรรม Bike for Mom-ปั่นเพื่อแม่กิจกรรมปั่นจักรยานเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 83 พรรษา 12 สิงหาคม 2558โดยมีวัตถุประสงค์การจัดงานเพื่อให้พสกนิกรทุกหมู่เหล่าได้แสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เพื่อเป็นการร่วมแสดงออกของประชาชนถึงความรักที่มีต่อแม่และแม่ของแผ่นดินเพื่อให้พสกนิกรทุกหมู่เหล่าได้มีโอกาสร่วมกิจกรรมปั่นจักรยานเฉลิมพระเกียรติอย่างทั่วถึงและเสริมสร้างความสามัคคีของคนในชาติที่จะร่วมกันจัดกิจกรรมถวายพระพรแด่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถและเพื่อเป็นการส่งเสริมสุขภาพของประชาชนในการร่วมออกกำลังกายทำให้สุขภาพร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ปลูกฝังให้ประชาชนรักการออกกำลังกายและเสริมสร้างความมีน้ำใจเป็นนักกีฬาอีกทั้งได้นำกิจกรรมดังกล่าวไปต่อยอดขยายผลต่อไป
หลังจากนั้นวันที่ 11 ธันวาคม 2558 มีกิจกรรม ปั่นเพื่อพ่อ Bike for Dadเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 88 พรรษา 5 ธันวาคม 2558และทรงนำขบวนพสกนิกรผู้เข้าร่วมกิจกรรมปั่นจักรยานเฉลิมพระเกียรติฯโดยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารมีพระราชปณิธานที่จะจัดกิจกรรมจักรยานถวายพระเกียรติและถวายความจงรักภักดีเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชร่วมกับพสกนิกรชาวไทย เพื่อถวายเป็นราชสดุดีโดยทรงเป็นประธานนำขบวนในวันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม 2558เพื่อเฉลิมพระเกียรติและแสดงความจงรักภักดีกตัญญูกตเวทิตาต่อพระมหากษัตริย์ทรงร่วมเทิดพระคุณพ่อและเพื่อความสามัคคีของชาวไทยทั้งชาติ
ที่มา : http://www.komchadluek.net/news/women/250659